Joker โจ๊กเกอร์


เรื่องย่อหนัง

หนัง Joker หรือชื่อไทยว่า โจ๊กเกอร์ ผลงานเรื่องราวจุดเริ่มต้นของ “Joker” จากผู้กำกับฯ ทอดด์ ฟิลลิปส์ ที่จะพาไปรู้จักกับโลกของอาร์เธอร์ เฟลค โดยมีการถ่ายทอดการแสดงไว้อย่างน่าประทับใจโดยโจคิน ฟีนิกซ์ อาร์เธอร์เป็นชายคนหนึ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับความโหดร้ายทารุณและสังคมที่เต็มไปด้วยการเหยียดหยาม เขาต้องเผชิญกับความอ้างว้างจนเปลี่ยนเขาจากที่เป็นคนอ่อนแอกลายเป็นคนโหดเหี้ยม เขารับจ้างแต่งชุดตัวตลกรายวัน จนกระทั่งคืนหนึ่งที่เขาพยายามจะแสดงตลกเดี่ยว แต่กลับพบว่าตัวเองต่างหากที่เป็นเรื่องตลก

รีวิว

ถ้าถามว่าในปีนี้เฝ้ารอหนังเรื่องอะไรมากที่สุด แน่นอนว่ามันไม่ใช่ Avengers: Endgame หากแต่ว่ามันคือ Joker นี่แหละ ด้วยความที่หนึ่งเลย มันเป็นตัวละครที่เราโปรดปรานมากถึงมากที่สุด สองเรื่องราวมันถูกตีความใหม่ถึงต้นกำเนิดตัวละครนี้ จึงทำให้เราอยากรู้ว่าผู้กำกับจะถ่ายทอดมันออกมาอย่างไรให้น่าสนใจ

ขอเกริ่นก่อนว่าหนังเรื่องนี้กำกับโดย Todd Phillips ที่เคยฝากผลงานสุดเฮอา เอาไว้ในไตรภาค The Hangover ซึ่งเจ้าตัวได้แรงบันดาลใจในการสร้างเรื่องนี้มาจากหนังของ Martin Scorsese กับเรื่อง Taxi Driver (1976), Raging Bull (1980) และ The King of Comedy (1982) และนำแสดงโดย Joaquin Phoenix มันจึงยิ่งน่าสนใจเข้าไปอีกว่า Todd Phillips ที่เคยทำหนังตลกๆ จะมาทำหนังดราม่า เจาะลึกจิตใจตัวละครอย่าง Joker ให้ดีได้ยังไง

Joker บอกเล่าต้นกำเนิดของตัวละครนี้ผ่านชายที่ชื่อ Arthur Fleck ตลกตกอับผู้ที่โดนสังคมทำร้ายอย่างทารุณ จนก่อให้เกิดเป็น Joker

พอ End Credit ขึ้นปุ๊บ แทบอยากจะลุกปรบมือให้กับความยอดเยี่ยมของทุกภาคส่วนในหนังเรื่องนี้เลยจริงๆ มันเป็นหนังที่นำเสนอตัวละคร Joker ออกมาได้โคตรจริง สัมผัสได้ และน่าสนใจแบบสุดๆ ตัวหนังมีการดำเนินเรื่องที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน มันค่อยๆ พาคนดูดำดิ่งไปกับตัวละครอย่าง Arthur Fleck มันค่อยๆ หล่อหลอมความพังของจิตใจ จากสภาพสังคมที่ตัวละครนี้ต้องเจอ ที่ถึงแม้มันจะเล่าได้ไม่ได้เวอร์วังหรือยากเกินคาดเดา เล่าง่ายๆ ว่าเขาคือคนบ้า แต่มันสนุกตรงที่ “มันบ้าได้ยังไง” ตรงนี้นี่แหละ และ “ความบ้าของมันจะไปถึงจุดไหน” และมันสุดยอด เล่าได้โคตรให้คนดูเห็นอกเห็นใจ และเห็นด้วยไปกับสิ่งที่ตัวละครนี้ต้องเจอ ต้องเป็นเลยทีเดียว หนังสามารถพาคนดูอย่างเราๆ ถูกกลืนกินไปกับสิ่งที่ตัวละครนี้ต้องเจอ มันไม่ใช่หนังฮีโร่ที่จะมาชั่งน้ำหนักความดีความเลวอะไรทั้งสิ้น แต่มันคือการแสดงให้เห็นเลยว่าทำไมมันเป็นแบบนี้ ถ้าหนังจบจะมีใครสักคนชักปืนออกมายิงจะไม่แปลกใจเลย ไม่ผิดเลยที่หลายๆ ฝ่ายห่วงในจุดนี้ เพราะหนังมันมีจุดที่แบบ “เออจริงว่ะ” และอาจนำไปสู่ความรุนแรงได้เลยจริงๆ จึงถูกและควรแล้วแหละ ที่เมืองนอกรักษาความปลอดภัย มีทหารมาคุม

สิ่งที่โคตรประทับใจและเห็นได้ชัดที่สุดคือการแสดงของ Joaquin Phoenix ที่ถ่ายทอดตัวละครอย่าง Arthur Fleck หรือ Joker ออกมาได้โคตรของโคตรของโคตรดี ทั้งท่วงทาการแสดงออก หรือบทพูดต่างๆ หากจะให้เปรียบเทียบว่าใครคือ Joker ที่ดีที่สุด เราคงตอบไม่ได้ เพราะ Heath Ledger ผู้ล่วงลับ ก็แสดงไว้สุดในทางของตัวเอง และ Joaquin Phoenix ก็ได้แสดงบทบาทนี้ในทางของตัวเองสุดเช่นกัน ค่อนข้างเอียงมาทางรายหลังนิดนึง แต่ถ้าถามว่าชอบใครมากกว่ากัน เราขอตอบว่าเราชอบ Joaquin Phoenix มากกว่า เพราะการแสดงของเขายอดเยี่ยมจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีใครแสดงออกมาได้แบบนี้ และดีขนาดนี้

เรามาเริ่มตั้งแต่สิ่งสำคัญของตัวละคร Joker ก็คือการ “หัวเราะ” และตัวของ Joaquin Phoenix ได้ศึกษาการหัวเราะของตัวละครนี้กับผู้ป่วยทางจิตเวช กับอาการที่มีชื่อเรียกว่า PLC หรือ Pathological Laughter and Crying มันเป็นอาการหรือภาวะการแสดงออกทางอารมณ์ที่มากผิดปกติ ที่มันยังขัดกับอารมณ์ภายใน ณ ขณะนั้น แถมมันยังไม่สามามรถควบคุมการแสดงออกทางอารมณ์ได้ เช่น การหัวเราะในเรื่องเศร้า ซึ่งตัวของ Joaquin Phoenix ก็เอามาใช้กับเรื่องนี้ได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็นการหัวเราะของเขาหลายแบบมาก มันจะมีใครในโลกที่สามารถหัวเราะได้หดหู่จนมันส่งผ่านมาถึงคนดูได้ขนาดนี้ ทุกครั้งที่ Joaquin Phoenix หัวเราะ ไม่มีสักฉากเลยที่รู้สึกว่ามันตลก กลับกลายเป็นการหัวเราะที่โคตรเศร้า หัวเราะได้น่าสะพรึง หัวเราะได้น่าสงสาร และหัวเราะได้โคตรเจ็บปวด แสดงได้ดีขนาดนี้ รางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจะหนีไปไหนเสีย (กันหน้าแตก อย่างน้อยก็ต้องได้เข้าชิงละน่าาาา) คิดไม่ออกเหมือนกันว่าอีกสักกี่ปีจะมีคนกล้ามารับบทบาทนี้ เพราะครั้งนี้มันยอดเยี่ยมจริงๆ

นอกเหนือจากบท การดำเนินเรื่อง การแสดง สิ่งที่โคตรยอดเยี่ยมไม่แพ้กันและช่วยส่งหนังแบบสุดคือเพลงและดนตรีประกอบ เห้ยเข้ากับทุกฉากอย่างน่าเหลือเชื่อ Soundtrack เพลงประกอบอย่าง Smile – Jimmy Durante, Laughing – The Guess Who, Send In the Clowns – Frank Sinatra, Put On a Happy Face – Tony Bennett และ That’s Life – Frank Sinatra ก็ยอดเยี่ยมมากพอแล้ว แต่ Score ที่ประพันธ์โดย Hildur Guðnadóttir มันดีย์อะไรขนาดนั้น! ฉากในห้องน้ำเอย ฉากรถไฟใต้ดินเอย และก็จะไม่แปลกใจอีกเช่นกัน ถ้า Joker จะได้เข้าชิงออสการ์สาขาเหล่านี้

เท่านั้นยังไม่พอ! งานด้านภาพและสีของเรื่องนี้นับว่าจัดจ้านมาก มีการเกรดดิ่งออกมาได้เป็นอย่างดี สะท้อนภาพจิตใจของตัวละครได้ยอดเยี่ยม ฉากไหนดาร์คก็หดหู่เสียเหลือเกิน ฉากที่ตัวละครแฮปปี้ก็โคตรสดใส